การเดินทางของจอหงวน : Day11

การเดินทางของจอหงวน : Day11

ตอน เรียน IR แล้วไปไหน
คำถามคล้ายๆ ตายแล้วไปไหนเหมือนกัน เพราะการเดินทางต่อไปข้างหน้าไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิต การเลือกแผนการเรียนเพื่อจบออกมาจะได้ประกอบอาชีพตามที่ตัวเองเรียนมานั้น มีน้อยคนที่จะมีปลายทางที่ทำความฝันเป็นความจริง นอกจากคนที่เรียนแผนวิชาชีพตรงๆ เช่นเรียนแพทย์ เรียนวิศวะ เรียนพยาบาล จบมาก็ประกอบอาชีพตามที่ได้เรียนมา แต่เรียนจบรัฐศาสตร์สาขาการเมืองและการระหว่างประเทศ (Politics and International Relations)นี่สิ จบมาแล้วจะทำอะไร เรียนการเมืองจบมาต้องเป็นนักการเมืองเหรอ แล้วถ้าโม้เพ้อเจ้อแบบนักการเมืองไม่เก่งจะไปประกอบอาชีพอะไรต่อดีหล่ะ การสอบเอ็นทรานส์เข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ที่สุดของชีวิต ดีใจได้แต่ยังไม่สุด เมื่อเรียนจบออกมาแล้วได้งานทำค่อยฉลองและดีใจสุดๆจะเท่ห์กว่า

ลูกเล่า : 
เรียน IR จบมาแล้วจะทำอะไร?

1. เออ คำถามนี้เราโดนถามตั้งแต่วันแรกที่เอนท์ติดสมัยปี 1 เป็นคำถามที่เราก็ตอบไม่ได้ จนเรียนจบมาแล้วก็ยังตอบไม่ได้ แต่คำตอบที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ คือ ทำอะไรไม่ได้ (555)

2. "ทำอะไรไม่ได้’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงจบมาแล้วจะทำอะไรไม่ได้แล้วต้องตกงานนะ ไม่ตกหรอก แต่หมายถึงในแง่ทักษะอาชีพการงาน มันไม่เหมือนเรียสถาปัตยฯ ที่จบมาก็เป็นสถาปนิก เรียนกฎหมายจบมาก็เป็นทนาย เรียนทันตะฯ จบมาก็เป็นหมอฟัน

3. เพราะการเรียน IR (หรือรัฐศาสตร์) มันเหมือนกับการเรียนวิชาทักษะความคิดที่สอนให้เราตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็น ดึงตัวเองออกมาจากจุดที่เคยยืนอยู่ แล้วมองมันในมุมที่ต่างออกไป - เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจ เรียนรู้ แก้ปัญหา (หรืออยู่กับปัญหา?) ต่อไป .. ซึ่งเป็นคำตอบที่ดูดี แต่สำหรับเรามันไม่ใช่อะ มันเหมือนเราฟังคำตอบของคนอื่นแต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้คิดหรือเห็นเองกับตัว ว่าแล้วจริงๆ วิชา IR มันเอาไปทำอะไรได้ หรือมันเอาไปใช้ทำมาหากินได้ยังไง

4. จนกระทั่งวันนี้ ที่ได้เจอคำตอบนั้นด้วยตัวเอง หลังเรียนจบมาเกือบ 5 ปี แล้วได้กลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง

5. โชคดีมากว่า ช่วงนี้ที่มหาลัยเป็นช่วง shopping วิชาเรียน คือเค้าให้นักศึกษาได้ลองเข้าไปนั่งดูวิธีการสอนของแต่ละวิชาในหนึ่งอาทิตย์ (ทำให้บางวันต้องเรียนตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่มครึ่งแหนะ) แล้วอาทิตย์หน้าถึงเป็นช่วงลงทะเบียนเรียนจริงๆ ซึ่งตอนแรกเราก็มีในใจแล้วแหละว่าจะเรียนอะไรบ้าง ก็เลยแค่ไปนั่งเรียนวิชาอื่นเล่นๆ ไปงั้นๆ เหมือนวันนี้ที่เดินเข้าไปเรียนวิชา Policy Risk Analysis แบบเหนื่อยมากๆ และง่วงมากๆ จนกะจะเรียนแค่ครึ่งเดียวแล้วเดินออกตอนเบรก

6. แต่ผิดคาดมาก สามชั่วโมงถัดมาเรานั่งตัวไม่ติดเก้าอี้ ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะวิชานี้เหมือนกำลังให้คำตอบเราทั้งหมดอยู่ว่า เรียน IR แล้วจะไปทำอะไร ด้วยการสอนเครื่องมือและวิธีที่จะเอาสิ่งที่เรียนมาตลอดชีวิตมหาลัยมาขายให้กับ 'ลูกค้า' จริงๆ ซึ่งอาจเป็นบริษัทเอกชนหรือรัฐบาลก็ได้ ถามต่อว่าในฐานะอะไร? คำตอบคือ ในฐานะ Political Risk Consultant นั่นเอง

7. Political Risk Analysis สำคัญยังไง Dr Ong ซึ่งคืออาจารย์ของเราเอง บอกว่า การที่บริษัทข้ามชาติซักอันนึงจะตัดสินใจมาลงทุนที่ไหนซักที่นึง Political Risk Analysis มีความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ เลย ลองคิดดูว่า ใครจะกล้าลงทุนในประเทศที่มี Political Risk สูง

8. แล้ว Political Risk คืออะไรบ้าง ยกตัวอย่างง่ายๆ พอให้เห็นภาพ เช่น การมีรัฐบาลที่ชอบเปลี่ยนนโยบายบ่อยๆ ชอบขึ้นภาษี เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา บอกว่าจะลงทุนแต่ก็เปลี่ยนใจ การประท้วงตามท้องถนนทำให้ธุรกิจไปต่อไม่ได้ การก่อการร้ายทั้งในและระหว่างประเทศ การปิดสนามบิน การก่อรัฐประหาร ฯลฯ ซึ่งก็คืออะไรก็ตามที่ทำให้ไม่น่าไปลงทุนในประเทศนั้นๆ โดยสามารถมองได้ทั้งในระดับ domestic, regional และ international (เหมือนเรียน IR มาก)

9. ต่อมา สิ่งที่ Political Risk Consultant ต้องทำคืออะไร? ง่ายๆ ก็คือการวิเคราะห์สถานการณ์และตีความออกมาเป็นความเสี่ยงเพื่อบอกให้ลูกค้า well-informed ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะเป็นยังไง ง่ายๆ คือการแปลคำศัพท์ IR ทั้งหลายให้เป็นคำพูดง่ายๆ นั่นเอง - อาจารย์บอกว่า เราคงไม่ใช้คำศัพท์อย่าง constructivism หรืออะไรแบบนี้ในชีวิตจริงหรอก ใช่มั้ย?

10. และโดยที่อาจารย์เองเคยเป็น Consultant มาก่อน (และตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่) คำๆ นึงที่ Dr. Ong จะพูดถึงบ่อยที่สุด ก็คือคำว่า client หรือลูกค้า วิชานี้เลยเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อให้ลองทำงานแบบเป็น Consultant จริงๆ เช่น การติดตามความเคลื่อนไหวใน targeted country ในอาเซียน 5 ประเทศ (มีไทยรวมอยู่ด้วย) การพรีเซ้นท์เปเปอร์ให้เหมือนเวลาขายงานให้ลูกค้า การแบ่งกลุ่มไปวิเคราะห์ความเสี่ยงในทุกๆ สัปดาห์ และอื่นๆ อีกมากมาย (พูดไปก็ตื่นเต้น)

11. ตอนนี้แผนการลงวิชาในหัวเลยเปลี่ยนใหม่หมดเลย ยิ่งเป็นเทอมแรกของปีด้วย ทำให้กระทบแผนการเรียนของทั้งปีเลย โดยคงต้องตัดใจไม่เรียนวิชาที่ตั้งใจจะเรียนในตอนแรก แล้วมาลงวิชานี้แทน เพราะคิดว่านี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่การเรียนวิชา IR จะเป็นอะไรที่จับต้องได้จริงๆ และไม่แน่อาจนำไปสู่สายงานอะไรใหม่ๆ ในอนาคตก็เป็นได้ อิอิ

12. อย่างไรก็ดี มีคนอยากเรียนวิชานี้เยอะมากกก ต้องไปแข่งลงทะเบียนกับคนอื่น ไม่รู้จะลงทันเค้ามั้ย เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ 

https://yaklau.blogspot.com/

เรื่องกำลังดัง